วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2550
"งามคำ...ทำนองไทย"
ความหมายของ “งามคำ...ทำนองไทย”นั้นได้รวบรวมความหมายในสองแง่คือ งามคำ และทำนองไทย
งามคำ ...หมายถึงการเลือกใช้คำให้งดงาม เหมาะสมกับสถานะการ เช่นการใช้กับพระมหากษัตริย์ การใช้กับพระสงฆ์เป็นตน
ทำนองไทย... หมายถึงใส่ทำนองในการพูดทำให้เกิดเป็นการร้องขึ้น เช่นการร่ายโคลง การอ่าน ทำนองเสนาะ จนค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นการร้องเพลงพื้นบ้านในที่สุด
“งามคำ...ทำนองไทย” โครงการที่เรียนนี้จึงเป็นการเรียนที่ได้รวมเอาทั้งการเลือกใช้คำอย่างเหมาะสมและการใส่ทำนองเข้าไปอีกด้วย แต่ทั้งสองอย่างนี้ได้มีอยู่ในประเทศของเรามานานแล้ว เพียงแต่เราจะหใความสนใจกับมันมากน้อยเพียงไรและยังเป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้สืบทอดมาให้ถึงรุ่นของเราอีกด้วย
"ระดับของภาษา"
ภาษาไทยของเรานั้นในการใช้สามารถแบ่งออกไปได้ 3 ระดับ ด้วยกันคือ ระดับของบ้าน ระดับของวัด และระดับของวัง...การแบ่งเป็นสามระดับน้แบ่งได้โดยดูจากการใช้ว่าใช้อย่างไรและกับใครดังต่อไปนี้
ภาษาระดับบ้าน
คือภาษาที่ใช้ในการพูดทั่งๆไปใช้ในหมู่ประชาชนทั่วๆไป เรียบง่ายไม่สลับซับซ้อนมากจนกระทั่งคนทั่งไปไม่เข้าใจ
ภาษาระดับวัด
เป็นภาษาที่ใช้กับพระสงฆ์ ไล่ระดับไปจนกระทั่งถึงพระสังฆราช *คล้ายคลึงกับคำราชาศัพท์ และยังรวมไปถึงการคำบาลีและคำสันสกฤษ ซึ่งเข้ามากับพระพุทธศาสนา โดยผ่านบทสวดมนต์ คาถา พระพุทธสุภาษิต ฯลฯ และยังเข้าไปอยู่ในภาษาไทยมาตั้งแต่ครั้งอดีต จนกระทั้งแม้แต่คนไทยเองยังไม่รู้ว่าคำคำนั้นเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทยของเรา
ภาษาระดับวัง
คือภาษาที่ใช้กับพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ ที่เรียกกันว่าคำราชาศัพท์ และยังรวมไปถึง กาพย์เห่เรือ และโคลงที่แต่งถวายแด่องค์พระมหากษัตริย์ ที่มาของการใช้ภาษาที่ไม่เหมือนะดับของชาวบ้านมาจากความเชื่อเรื่องสมมติเทพ** เพราะความเชื่อนี้เองที่เชื่อว่าองค์ราชาคือร่างแห่งเทพ-เป็นเทพเจ้า เช่นองค์นารายณ์อวตารเป็นต้น จึงต้องใช้ภาษาที่แตกต่างกันหรือทำให้ดุสุงส่งมากกว่าคนทั่งไปนั้นเอง
หมายเหตุ * ในหมู่ของพระสงฆ์นั้น เองก็มีการใช้ที่แตกต่างกันตามยศด้วยเช่นกัน
**ความเชื่อนี้ได้รับมาจากอินเดียซึ่งนับถือศาสนาฮินดู-พราหมณ์ที่เชื่อเรื่องเทพเจ้าโดย
มี 3 เทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ พระนารายณ์ พระพรหม และพระศิวะ ทั้งสามพระองค์เรียก
ได้อีก ชื่อว่าพระตรีมูรตินั้นเอง
"เพลงพื้นบ้าน"
เพลงพื้นบ้าน
เมื่อคนธรรมดาทั่งๆไปอย่างเราๆแต่งกลอน เขียนกลอนมากๆเข้า ก็นำมาร้อยเรียงเป็นบทเพลงต่างๆ ในระดับแรกก็คือ เพลงพื้นบ้าน นี้เอง
ความหมายของเพลงพื้นบ้าน คือ บทเพลงที่เกิดจากคนในท้องถิ่นต่าง ๆ คิดได้รูปแบบการร้อง การเล่นขึ้นมา จนกลายเป็นบทเพลงที่มีท่วงทำนอง แต่ว่าภาษาที่ใช้เองก็ยังเรียบง่ายอยู่ดี แต่ว่าบทเพลงพื้นบ้านมุ่งเอาความสนุกสนานรื่นเริงเป็นหลัก และจะนิยมเล่นกันในโอกาสต่าง ๆ เช่น สงกรานต์ ตรุษจีน ลอยกระทงไหว้พระประจำปี หรือแม้กระทั่งในโอกาสที่ได้มาช่วยกันทำงาน ร่วมมือร่วมใจเพื่อทำงานอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น เกี่ยวข้าว นวดข้าว ฯลฯ
ลักษณะของเพลงพื้นบ้าน ส่วนมากจะเป็นการเกี้ยวพาราสี หรือการซักถามโต้ตอบกัน ความเด่นของเพลงพื้นบ้านอยู่ที่ความไพเราะ คารมหรือถ้อยคำง่าย ๆ แต่มีความหมาย กินใจ และยังใช้ไหวพริบปฏิภาณในการร้องที่ต้องโต้ตอบกัน เพลงพื้นบ้านส่วนใหญ่จะมีเนื้อร้อง และทำนองง่าย ๆ ร้องเล่นได้ไม่ยาก ฟังไม่นานก็สามารถร้องเล่นตามได้ การเล่นเพลงชาวบ้าน จะเล่นกัน ตามลานบ้าน ลานวัด ท้องนา ตามลำน้ำ แล้วแต่โอกาสในการเล่นเพลง เครื่องดนตรี ที่ใช้เป็นเพียงเครื่องประกอบจังหวะ เช่น ฉิ่ง กรับ กลอง หรือเครื่องดนตรี ที่ประดิษฐ์ขึ้นเองบางทีก็ไม่มีเลยใช้การปรบมือประกอบจังหวะสิ่งสำคัญในการร้องเพลงชาวบ้านอีกอย่างก็คือ ลูกคู่ร้องรับ ร้องกระทุ้ง หรือร้องสอดเพลง ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดความสนุกสนานครึกครื้นยิ่งขึ้น
"เพลงพื้นบ้านภาคกลาง"
เพลงเกี่ยวข้าว
คว้าเถิดนาแม่คว้า รีบตะบึงถึงคันนา
จะได้พูดจากันเอย
เกี่ยวเถิดหนาแม่เกี่ยว อย่ามัวแลมัวเหลียว
เคียวจะบาดมือเอย
เกี่ยวข้าวแม่ยาย ผักบุ้งหญ้าหวาย
พันที่ปลายกำเอย
คว้าเถิดหนาแม่คว้า ผักบุ้งสันตะวา
คว้าให้เต็มกำเอย
กลอนแปด
กลอน คือลักษณะการแต่ง ที่เรียบเรียงเข้าเป็นคณะ มีสัมผัสกัน ตามลักษณะบัญญัติ เป็นชนิดๆ แต่ไม่มีบังคับ เอกโท และครุลหุ จึงเป็นกลอนแปบที่นิยมและแต่งกันทุกชั้นของสังคม แต่ว่าการแต่งก็อาจทำให้ดูสวยงามมากขึ้นได้ด้วยการใส่คำพ้องเสียงเข้าไป
ตัวอย่างกลอนแปด
นำมาจาก http://www.baanjomyut.com/
...ก่อนสิ้นแสงจันทร์...
ตะวันลับขอบฟ้าจันทราส่อง
คำบาลีและคำบาลีสันสกฤต
ภาษาบาลีและสันสกฤต ที่ได้เข้ามาในประเทศไทยนั้น ได้เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อภาษาไทยเป็ฯอย่างมาก บาลีและสันสกฤต เป็นภาษาในตระกูลเดียวกันคือตระกูลอินโด-ยุโรป (Indo-European) ภาษาในกลุ่มนี้ เป็นภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย หมายความว่าคำทุกคำ (ยกเว้นจำพวกอัพยยศัพท์) ไม่ว่าจะเป็นคำนามหรือคำกริยา ล้วนแล้วแต่มีรากศัพท์ หรือผ่านการประกอบรูปศัพท์ทั้งสิ้น ไม่ใช่จะสำเร็จเป็นคำเป็นศัพท์เลยทีเดียว และเมื่อจะนำไปใช้จะต้องมีการแจกรูปเสียก่อน เพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ในประโยคเช่นเป็นประธาน เป็นกรรม เป็นต้น ประเทศไทยของเราได้รับเอาภาษาบาลีและภาษาสันสกฤษมาโดยการที่เรารับศาสนามาจากอินเดีย ทั้งบทสวดมนต์และคำสอนต่างๆ
ประเทศไทยของเราได้ เอาคำในภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทยไม่น้อย อาจกล่าวได้ว่ามากกว่าภาษาอื่นๆ ที่นำมาใช้ในภาษาไทยในปัจจุบัน เช่น ภาษาอังกฤษ แต่เมื่อนำมาใช้ในภาษาไทยแล้ว ก็มีการเปลี่ยนรูป เปลี่ยนเสียง เปลี่ยนความหมาย ฯลฯ หรือที่เรียกว่าการกลายรูป กลายเสียง กลายความหมาย ฯลฯ นั่นเอง ปัจจุบัน ภาษาบาลีและสันสกฤตมีอิทธิพลต่อภาษาไทยอย่างยิ่ง แต่เป็นการเข้ามาโดยที่เราไมม่รูตัวหรือเป็นการที่เราได้หลงลืมไป และยังได้รับเอาคำภาษาทั้งสองนี้มาใช้เป็นจำนวนมากและอย่างแพร่หลาย
ความหมายและรูปแบบของภาษาบาลีในประเทศไทย
ในประเทศไทยนั้นได้รับเอาคำภาษาบาลีและสันสกฤษเข้ามาอย่างแพร่หลายและยังเข้ามาในการใช้งานที่แตกต่างกันไป ต่อไปนี้
- คำราชาศัพท์ ในภาษาไทยเรามีคำราชาศัพท์ที่เป็นคำบาลีและสันสกฤตจำนวนไม่น้อย
- ชื่อจังหวัด อำเภอ ฯลฯ ในประเทศไทย
- ชื่อ - นามสกุลของคน
- ชื่อมหาวิทยาลัย สถานที่ วัด
- ชื่อเดือนทั้ง ๑๒
- คำทั่วไป
คำที่ใช้กับพระสงฆ์
คำที่ใช้กับพระสงฆ์นั้นก็จะมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองเหมือนกับคำราชาศัพท์ ที่มีมากหมายหลายอย่างตั้งแต่กิริยาต่างๆ ข้าวขจองเครื่องใช้ เช่น
ฉันท์
ไทยนำเปลี่ยนแปลงลักษณะบางอย่างในเข้ากับภาษาของเรามากขึ้นไป
การเลือกใช้ฉันท์ ฉันท์นั้นมีการแบ่งหน้าอย่างชัดเจนว่าเป็นฉันท์ที่เอาไว้ทำอะไรดังนั้นการเลือกเอาไปใช้นั้นจะต้องดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อน
- บทนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทไหว้ครู บทสรรเสริญพระเกียรติ ความขลัง
- บทเล่าเรื่อง บทชม คร่ำครวญ นิยมใช้ อินทรวิเชียรฉันท์ หรือวสันดิลกฉันท์
- บทแสดงอารมณ์รุนแรง เช่นโกรธ ตื่นเต้น วิตกกังวล หรือบรรยายความในใจเกี่ยวกับความรักที่ต้องการให้เห็นอารมณ์สะเทือนใจอย่างมาก นิยมใช้ อิทิสังฉันท์ ซึ่งเป็นฉันท์ที่สลับเสียงหนักเบาเน้นเสียงเป็นจังหวะทุกระยะ
- บทพรรณนาโวหารหรือบรรยายข้อความที่น่าตื่นเต้น หรือเป็นที่ประทับใจ นิยมใช้
ภุชงคประยาตฉันท์ - บทสนุกสนานขบขัน หรือคึกคักสับสน ให้เหตการณ์บรรยายไปอย่างรวดเร็ซจะนิยมใช้
โตฏกฉันท์ มาณวกฉันท์ หรือจิตรปทาฉันท์ - บทบรรยายความ นิยมใช้ อุเปนทรวิเชียรฉันท์ อินทวงสฉันท์ วิชชุมมาลาฉันท์ หรือสาลินีฉันท์
คัวอย่างฉันท์ บทเล่าเรื่อง ชม
๏ พวกราชมัลโดย
พลโบยมิใช่เบา
สุดหัตถแห่งเขา
ขณะหวดสิพึงกลัว
๏ บงเนื้อก็เนื้อเต้น
พิศเส้นสรีร์รัว
ทั่วร่างและทั้งตัว
ก็ระริกระริวไหว
๏ แลหลังละโลมโล-
หิตโอ้เลอะหลั่งไป
เพ่งผาดอนาถใจ
ระกะร่อยเพราะรอยหวาย
๏ เนื่องนับอเนกแนว
ระยะแถวตลอดลาย
เฆี่ยนครบสยบกาย
สิรพับพะกับคา
ตัวอย่างฉันท์ บทไหว้ครู
๏ ข้าขอเทิดทศนัขประนามคุณพระศรี สรรเพชญพระภูมี
พระภาค
๏ อีกธรรมาภิสมัยพระไตรปิฎกวากย์ ทรงคุณคะนึงมาก
ประมาณ
๏ นบสงฆ์สาวกพุทธ์พิสุทธิ์อริยญาณ นาบุญญบุญบาน
บ โรย
๏ อีกองค์อาทิกวีพิรียุตมโดย ดำรงดำรับโปรย
ประพันธ์
๏ ผู้เริ่มรังพจมานตระการกมลกรรณ ก้มกราบพระคุณขันธ์
คเณศ
๏ สรวมชีพอัญชลีนาถพระบาทนฤเบศ มงกุฏกษัตริย์เกษตร
สยาม
๏ ที่หกรัชสมัยก็ไกรกิติพระนาม ทรงคุณคามภี-
รภาพ
คำราชาศัพท์
คำราชาศัพท์ หมายถึงคำที่เป็นคำที่ใช้ในวังเท่านั้นเป็นการรับอิทธิพลมาจากเขมรซึ่งทางเขมรเองก็รับมาจากอินเดีย เป็นคติความเชื่อเรื่องที่ว่าพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเทพมาจุติจึงต้องใช้สิ่งที่สูงส่งเเละไม่สามารถนำมาใช้กับคนทั่งๆไปได้ โดยจะแบ่งออกเป็นหลายๆอย่างเช่น ข้างของเครื่องใช้ ร่างกาย ท่าทาง กิริยาอาการ ฯลฯ ซึ่งทั่งหมดนั้นเองก็จะแบ่งไปตามว่าเราใช้กับใคร เช่นพระราชินี พระบรมวงศ์นุวงค์ ฯลฯ ทั้งยังมีการนำศัพท์เหล่านี้นั้ตนไปแต่งเป็นกาพย์เห่เรือซึ่งเป็นการแต่งเพื่อเถิดทูนองค์พระมหากษัตรย์อีกด้วย
ราชาศัพท์หมวดพระวงศ์
ปู่ทวด (พ่อของปู่)=พระเปตามไหยกา
ปู่ทวด (พ่อของย่า)=พระมาตามไหยกา
ตาทวด (พ่อของตา)=พระเปตามไหยกา
ตาทวด (พ่อของยาย)=พระมาตามไหยกา
ปู่ทวดและตาทวด=พระไปยกา
ย่าทวด (แม่ของปู่)=พระเปตามไหยิกา
ย่าทวด (แม่ของย่า)=พระมาตามไหยิกา
ยายทวด (แม่ของตา)=พระเปตามไหยิกา
ยายทวด (แม่ของยาย)=พระมาตามไหยิกา
ย่าทวดและยายทวด=พระไปยิกา
ปู่ (พ่อของพ่อ),ตา (พ่อของแม่)=พระอัยกา
ย่า (แม่ของพ่อ),ยาย (แม่ของแม่)=พระอัยยิกา
ย่า (แม่ของพ่อ),ยาย (แม่ของแม่)=พระอัยกี
ลุง (พี่ชายของพ่อ)=พระปิตุลา
ป้า (พี่สาวของพ่อ)=พระปิตุจฉา
ลง (พี่ชายของแม่)=พระมาตุลา
ป้า (พี่สาวของแม่)=พระมาตุจฉา
พ่อ=พระชนก,พระบิดร,พระบิดา
แม่=พระชนนี,พระมารดร,พระมารดา
อา (น้องชายของพ่อ)=พระปิตุลา
อา (น้องชายของพ่อ)=พระเจ้าอา
อา (น้องชายของพ่อ)=พระปิตุจฉา
น้า (น้องชายของแม่)=พระตุลา
น้า (น้องสาวของแม่)=พระมาตุจฉา
พี่ชาย=พระเชษฐา,พระเชษฐภาตา
พี่สาว=พระเชษฐภคินี
น้องชาย=พระอนุชา,พระขนิษฐา
น้องสาว=พระขนิษฐภาตา,พระขนิษฐภคินี
ลูกชาย=พระราชโอรส,พระโอรส,พระบุตร
ลูกสาว=พระราชธิดา,พระธิดา,พระบุตรี
หลาน (ลูกของลูก)=พระนัดดา
หลาน (ลูกของพี่, ลูกของน้อง)=พระภาคิไนย
เหลน (หลานของลูก)=พระปนัดดา
พ่อผัว,พ่อตา=พระสัสสุระ
แม่ผัว,แม่ยาย=พระสัสสุ
ผัว=พระสวามี,พระสามี
ผัว=พระภัสดา
เมีย=พระมเหสี,พระชายา
ลูกเขย=พระชามาดา
ลูกสะใภ้=พระสุณิสา
คำราชาศัพท์หมวดเครื่องใช้
หมวดราชูปโภค (เครื่องใช้สอย, เครื่องประดับ และสิ่งต่างๆ)
กระโถนเล็ก=พระสุพรรณศรี
กระโถนใหญ่ (พระราชา)=พระสุพรรณราช
กระโถน (เจ้านาย, พระราชวงศ์)=บ้วนพระโอษฐ์
โต๊ะเท้าช้าง, โต๊ะสำรับกับข้าวของกิน)=พระสุพรรณภาชน์
โต๊ะเขียนหนังสือ=โต๊ะทรงพระอักษร
โต๊ะเล็กข้างเตียงนอน=โต๊ะข้างพระที่
พานหมาก (พระราชา)=พานพระศรี
พานหมาก (เจ้านาย, พระราชวงศ์)=พานหมากเสวย
หีบหมาก (พระราชา)=หีบพระศรี
หีบหมาก (พระราชวงศ์)=พระล่วม
หีบหมาก (เจ้านาย, พระราชวงศ์)=หีบหมากเสวย
ตลับเพชร=พระรัตนกรัณฑ์
ถาดน้ำร้อน=ถาดพระสุธารสร้อน
ถาดน้ำเย็น=ถาดพระสุธารสเย็น
จอกหมาก=พระมังสี
พานรองสังข์=พระมังสี
คนโทน้ำ=พระตะพาบ, พระเต้า
หม้อน้ำ=พระตะพาบ
หม้อกรวดน้ำ=พระเต้าทักษิโณทก
หม้อน้ำเย็น=พระมณฑปรัตนกรัณฑ์
เต้าน้ำที่ทำด้วยทองคำ=พระสุวรรณภิงคาร
เต้าน้ำที่ทำด้วยดินเผา=พระภิงคาร
หมาก=พระศรี
น้ำดื่ม=พระสุธารส
น้ำชา=พระสุธารสชา
แก้วน้ำดื่ม=แก้วน้ำเสวย
ของกิน=เครื่อง
ของคาว=เครื่องคาว
กับข้าว, ของกิน=เครื่องเสวยหรือเครื่องคาว
ของหวาน=เครื่องหวาน, เครื่องต้นหวาน
ของว่าง=เครื่องว่าง
ข้าว=พระกระยาเสวย
ยารักษาโรค=พระโอสถ
เครื่องหอม (แป้งหอม, สบู่หอม)=พระสุคนธ์
ห้องแต่งตัว=ห้องพระสำอาง
ห้องสุขา=ห้องลงพระบังคน
เตียง=พระแท่น
เตียงนอน=พระแท่นบรรทม
ที่สำหรับนั่ง=พระราชอาสน์
เครื่องลาด=พระบรรจถรณ์, พระสุจหนี่
เครื่องปู=พระบรรจถรณ์
ที่นอน=พระบรรจถรณ์
ที่นอน (เจ้านาย)=พระที่
หมอนหนุน=พระเขนย
หมอนอิง=พระขนน
ที่นอน=พระยี่ภู่
เบาะ=พระยี่ภู่
ม่าน=พระวิสูตร
มุ้ง=พระวิสูตร
เปล=พระอึงรัง,พระอู่
ผ้านุ่ง (พระมหากษัตริย์)
พระภูษา=ผ้านุ่ง (เจ้านาย)
ฉัตร=เครื่องสูง พระอภิรุม
ชุมสาย=เครื่องสูง พระอภิรุม
พัดโบก=เครื่องสูง พระอภิรุม
จามร=เครื่องสูง พระอภิรุม
บังแทรก=เครื่องสูง พระอภิรุม
บังสูรย์=เครื่องสูง พระอภิรุม
หน้าต่าง=พระบัญชร
บานหน้าต่าง=พระแกล
ประตู=พระทวาร
เรือนหลวง=พระที่นั่ง
ยานพาหนะที่ทรง=พระที่นั่ง
กินยา=เสวยพระโอสถ
ยาถ่าย=พระโอสถประจุ
ยาสูบ=พระโอสถเส้น
บุหรี่เป็นมวน=พระโอสถมวน
สูบบุหรี่=ทรงพระโอสถมวน
เหล้า=น้ำจัณฑ์
แว่นตา=ฉลองพระเนตร
เสื้อ=ฉลองพระองค์, เครื่องแบบ
เสื้อ=พระกัญจุก
เสื้อ (เจ้านาย)=เสื้อทรง
ช้อน=ฉลองพระหัตถ์ช้อน
ส้อม=ฉลองพระหัตถ์ส้อม
ตะเกียบ=ฉลองพระหัตถ์ตะเกียบ
รองเท้า (พระมหากษัตริย์)=ฉลองพระบาท
รองเท้า (เจ้านาย)=รองพระบาท
ถุงเท้า=ถุงพระบาท
ไม้เกาหลัง=ฉลองไต, ไม้ฉลองพระหัตถ์
ไม้เกาหลัง=นารายณ์หัตถ์
อาวุธ, ศัสตราวุธ=พระแสง
กระบี่=พระแสงพระบี่
กริช=พระแสงกริช
ปืน=พระแสงปืน
มีดเจียนหมาก=พระแสงกรรบิด
มีดโกน=พระแสงกรรบิด
กรรไตร, กรรไกร=พระแสงกรรไตร, พระแสงปนาค
แหนบ=พระแสงกัสสะ
ไม้เท้า=ธารพระกร
ไม้วา=ธารพระกร
ตรา (สำหรับใช้ตีหรือประทับ)=พระราชลัญจกร=ตราสำหรับใช้ประทับ (พระราชวงศ์)
พระตรา=ตราราชอิสริยาภรณ์
กระจกส่อง=พระฉาย
หวี=พระสาง
หวีเสนียด=พระสางเสนียด
หวีวงเดือน=พระสางวงเดือน
น้ำอบ=พระสุคนธ์
เครื่องหอม เช่น กระแจะ, แป้งร่ำ, แป้งหอม, สบู่=เครื่องพระสำอาง
เรือน (เจ้านาย)=ตำหนัก
ที่พักชั่วคราว=พลับพลา
บ้าน (เจ้านาย)=วัง
ผ้าส่านแดง (ผ้าขนสัตว์สีแดง)=พระรัตกัมพล
ผ้าสาน (ผ้าขนสัตว์)=พระกัมพล
ผ้าทอด้วยขนสัตว์=พระกัมพล
ผ้าห่มตัว (สไบ)=พระสะพัก
ผ้าห่ม=ผ้าคลุมพระองค์
ห่มผ้า=ทรงสะพัก
ผ้าห่มนอน=คลุมบรรทม
ผ้าเช็ดตัว=ผ้าซับพระองค์
ผ้าเช็ดหน้า=ผ้าซับพระพักตร์
ผ้าอาบ (พระมหากษัตริย์)=พระภูษาชุบสรง
ผ้าอาบน้ำ (พระราชวงศ์)=ผ้าชุบสรง, ผ้าสรง
ผ้ากันเปื้อน=ผ้ากันเปื้อนส่วนพระองค์
กำไลมือ=ทองพระกร
กำไลเท้า=ทองพระบาท
แหวน=พระธำมรงค์
สร้อยอ่อน=พระเกยูร
สายสร้อย=พระเกยูร, สายพระศอ
กำไล=พระเกยูร
เครื่องประดับที่สวมไว้ที่ต้นแขนลักษณะคล้ายกำไล=พระพาหุรัด
เข็มขัด=พระปั้นเหน่ง
เข็มขัด=รัดพระองค์
ผ้าโพก=พระเวฐิตะ, พระเวฐนะ
หมวก=พระมาลา
ปิ่นประดับเพชร=พระจุฑามณี
กรอบหน้า=พระอุณหิส
มงกุฎ=พระอุณหิส
ตุ้มหู=พระกุณฑล
จอนหู=พระกรรเจียก
เครื่องทัดหู=พระกรรเจียก
สร้อยยาวสวมสะพานแล่ง=พระสังวาล
คำราชาศัพ์หมวดร่างกาย
หมวดร่างกาย
หัว (พระราชา)=พระเจ้า,พระเศียร
ผม (พระราชา)=เส้นพระเจ้า,พระเจ้า
ผม=พระเกศา,ระเกศ,พระศก
ผมมวย หรือมวยผม=พระจุฑามาศ
ผมเปีย=พระเวณิ
ไรผม=ไรพระเกศา, ไรพระเกศ
จุก=พระโมลี,พระเมาลี
ไรจุก=พระจุไร
หน้าผาก=พระนลาฏ
คิ้ว=พระขนง,พระภมู
ขนหว่างคิ้ว=พระอุณาโลม
ขนจมูก=พระโลมะนาสิก, ขนพระนาสิก
ดวงตา=พระจักษุ,พระนัยนา, พระนยนะ,พระเนตร
ตาดำ=พระเนตรดำ, ดวงพระเนตรดำ
ตาขาว=พระเนตรขาว, ดวงพระเนตรขาว
หนังตา=พระตจะเนตร, หนังพระเนตร
ขนตา=พระโลมะจักษุ, ขนพระเนตร
ขอบตา=ขอบพระเนตร
หลังตา=หลังพระเนตร
ท่อน้ำตา, ต่อมน้ำตา=พระอัสสุธารา, ต่อมพระเนตร
จมูก=พระนาสา,พระนาสิก
สันจมูก=สันพระนาสิก, สันพระนาสา
ช่องจมูก=ช่องพระนาสิก
แก้ม=พระปราง
กระพุ้งแก้ม=พระกำโบล
หนวด=พระมัสสุ
เครา=พระทาฒิกะ
ปาก=พระโอษฐ์
ริมฝีปาก=พระโอษฐ์
ฟัน=พระทนต์
ไรฟัน=ไรพระทนต์
เหงือก=ไรพระทนต์
เขี้ยว=พระทาฒะ, พระทาฐะ
ลิ้น=พระชิวหา
ต้นลิ้น (ลิ้นไก่)=มูลพระชิวหา, ต้นพระชิวหา
คาง=พระหนุ (หะ-นุ)
ขากรรไกร=ต้นพระหนุ
ใบหู=พระกรรณ
ช่องหู=ช่องพระโสต
ช่องหู=ช่องพระกรรณ
ดวงหน้า=พระพักตร์
คอ=พระศอ
ลำคอ=ลำพระศอ
ไหปลาร้า=พระรากขวัญ
บ่า=พระอังสา
ไหล่=พระอังสา
จะงอยบ่า=พระอังสกุฏ
ศอก=พระกัปปะระ
ศอก=พระกโบระ, ข้อพระพาหา
แขน ตั้งแต่แขนลงไปถึงข้อศอก=พระพาหา
ปลายแขน (ตั้งแต่ข้อศอกลงไปถึงข้อมือ)=พระพาหุ
ข้อมือ=ข้อพระกร,ข้อพระหัตถ์
มือ=พระหัตถ์
ฝ่ามือ=ฝ่าพระหัตถ์
นิ้วมือ=พระองคุลี
นิ้วหัวแม่มือ=พระอังคุฐ
นิ้วชี้=พระดัชนี
นิ้วกลาง=พระมัชฌิมา
นิ้วนาง=พระอนามิกา
นิ้วก้อย=พระกนิษฐา
ข้อนิ้วมือ=ข้อนิ้วพระหัตถ์
กำมือ, กำหมัด, กำปั้น=กำพระหัตถ์, พระมุฐ
เล็บ=พระนขา
ขี้เล็บ=มูลพระนขา
อก=พระอุระ,พระทรวง
นม=พระถัน
โคลงสี่สุภาพ
โคลงสี่สุภาพเป็นคำประพันธ์ประเภท "ร้อยกรอง" ชนิดหนึ่ง โดยจะมีลักษณะเด่นๆ คือนอกจากจะมีบังคับสัมผัสตามที่ต่าง ๆ แล้วยังบังคับให้มีวรรณยุกต์เอกโทในบางตำแหน่งด้วย กล่าวคือ มีเอก 7 แห่ง และโท 4
ตัวอย่างโคลงสี่สุภาพ
กาพย์เห่เรือ
กาพย์เห่เรือ
กาพย์เห่เรือ เป็นคำประพันธ์ประเภทหนึ่ง แต่งไว้สำหรับขับร้องเห่ในกระบวนเรือ โดยมีทำนองเห่ที่สอดคล้องกับจังหวะการพายของฝีพาย ว่าช้า หรือเร็ว มักจะมีพนักงานขับเห่หนึ่งคนเป็นต้นเสียง และฝีพายคอยร้องขับตามจังหวะ พร้อมกับการให้จังหวะจากพนักงานประจำเรือแต่ละลำ ในปัจจุบันนั้นจะเป็นสิ่งที่เห็นได้เฉพาะในพระราชพิธีต่างๆที่สำคัญๆเท่านั้น ฃตามความจริงแล้วก็จะใช่ก็ต่อเมื่อมีการเดินทางทางน้ำของพระมหากษัตริย์เท่านั้นด้วย แต่ด้วยสมัยที่เปลี่ยนไปทำห้เราไม่ค่อนได้เห็นและได้พบเจอเท่าไหร่ อาจเพราะในสมัยนี้นั้นรัชกาลหนึ่งอาจมีการเดินทางทางน้ำไม่กี่ครั้งแล้วนั้นเอง
กาพย์เห่เรือที่เก่าแก่ที่สุด ที่พบในเวลานี้ คือ กาพย์เห่เรือใน เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ สมัยอยุธยาตอนปลาย ทรงแต่งไว้ 2 เรื่อง คือบทเห่ชมเรือ ชมปลา ชมไม้ และชมนก มีลักษณะเป็นเหมือนนิราศ กับอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องกากีสันนิษฐานกันว่ากาพย์เห่เรือ เดิมคงจะแต่งเพื่อขับเห่กันเมื่อเดินทางไกลในแม่น้ำลำคลอง
ขุนช้างขุนแผน
เรื่องย่อขุนช้างขุนแผน
กล่าวถึงครอบครัวสามครอบครัว คือ ครอบครัวของขุนไกรพลพ่าย รับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ นางทองประศรี มีลูกชายด้วยกันชื่อ พลายแก้ว ครอบครัวของขุนศรีวิชัย เศรษฐีใหญ่ของเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยา ชื่อ นางเทพทอง มีลูกชายชื่อ ขุนช้าง ซึ่งหัวล้านมาแต่กำเนิด และครอบครัวของพันศรโยธาเป็นพ่อค้า ภรรยาชื่อ ศรีประจัน มีลูกสาวรูปร่างหน้าตางดงามชื่อ นางพิมพิลาไลย